แกลเลอรี
ข้อมูลพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้อุตุนิยมวิทยา
ประวัติความเป็นมา
การดำเนินงานด้านพิพิธภัณฑ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา เริ่มต้นขึ้นเนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระปริมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม 2530 (หนังสือพิพิธภัณฑ์อุตุนิยมวิทยา, 2530) กรมอุตุนิยมวิทยาได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจบำเพ็ญประโยชน์แก่ประเทศชาติและพสกนิกรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตุนิยมวิทยา และทรงนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม ดังจะเห็นได้จากการที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้จัดส่งแผนที่อากาศ ภาพถ่ายจากดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา และข่าวพยากรณ์อากาศ ทูลเกล้าฯ ถวายที่พระราชวังสวนจิตรลดาเป็นประจำ
โดยเฉพาะถ้าเป็นเวลาที่พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้ามามีผลกระทบต่อลมฟ้าอากาศในประเทศไทยด้วยแล้ว พระองค์จะให้ราชองครักษ์ปรึกษา สอบถามกับกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อทราบการเคลื่อนไหวของพายุ และจะทรงรับสั่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เตรียมการช่วยเหลือ และป้องกันภัยพิบัติอย่างเร่งด่วน ดังนั้น กรมอุตุนิยมวิทยา จึงได้จัดตั้ง พิพิธภัณฑ์อุตุนิยมวิทยา ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์
- เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 5 รอบ และพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เมื่อปี พ.ศ.2530
- เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่และส่งเสริมความรู้ด้านอุตุนิยมวิทยา
โดยใช้งบประมาณจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อุตุนิยมวิทยา จากงบประมาณกรมอุตุนิยมวิทยา รวมกับเงินบริจาคของข้าราชการ ลูกจ้างกรมอุตุนิยมวิทยา บริษัท ห้างร้าน และประชาชน รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 517,534.50 บาท (ห้าแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสามสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์)
วันที่ 19 และ 27 ธันวาคม พ.ศ.2532 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ กรมอุตุนิยมวิทยา ย้ายที่ทำการ อุปกรณ์ทางเทคนิค และบ้านพักออกจากที่ราชพัสดุไปสร้างใหม่ที่บางนา ซึ่งมีส่วนราชการกรมอุตุนิยมวิทยาบางนาอยู่เดิมแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอ
สำหรับที่ดินที่เป็นที่ตั้งกรมอุตุนิยมวิทยา ถนนสุขุมวิททั้งแปลงให้กระทรวงการคลัง(กรมธนารักษ์) รับไปดำเนินการสร้างสวนสาธารณะ เพื่อทูลเกล้าถวายในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุ 60 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นผลให้ต้องย้ายอาคารพิพิธภัณฑ์อุตุนิยมวิทยาจากที่ทำการเดิม มาจัดตั้ง ณ ที่ทำการใหม่ด้วย โดยใช้อาคารที่ทำการของส่วนราชการกรมอุตุนิยมวิทยาบางนาที่มีอยู่เดิม เป็นอาคาร 2 ชั้น โดยใช้ชั้นที่ 1 จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์อุตุนิยมวิทยา ซึ่งเนื้อหาและสิ่งจัดแสดงจะเป็นไปในรูปแบบของการทำอุปกรณ์และเครื่องมืออุตุนิยมวิทยาที่เคยใช้ในอดีตนำมาจัดแสดง รวมถึงการนำเอกสารและตำราวิชาการในสมัยก่อน ตลอดจนภาพถ่ายเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับอุตุนิยมวิทยาในอดีตมาจัดแสดงด้วย การเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์อุตุนิยมวิทยาในขณะนั้น ส่วนมากจะเปิดให้เข้าชมเฉพาะเวลาที่มีคณะบุคคลเข้าศึกษาดูงานหรือเยี่ยมชมกิจการ เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลประจำพิพิธภัณฑ์และข้อจำกัดด้านอาคารสถานที่ โดยเน้นการใช้วัตถุมาจัดแสดงพร้อมคำอธิบายไว้เป็นส่วนๆ ทำให้ผู้ชมไม่สามารถประมวลผลองค์ความรู้และความเข้าใจในภาพรวมได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของสภาพอาคาร พื้นที่และองค์ประกอบการใช้สอยไม่เอื้อต่อการจัดแสดงตามหลักการใช้สอยทางด้านพิพิธภัณฑ์ รวมถึงไม่มีพื้นที่จัดกิจกรรมอื่นๆ ได้
เมื่อปี พ.ศ.2549 กรมอุตุนิยมวิทยาจึงได้จัดทำโครงการเพื่อปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า “โครงการพิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้อุตุนิยมวิทยา” และดำเนินการแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2550 โดยใช้พื้นที่จากเดิมและปรับปรุงต่อเติมภายนอกอาคาร เพื่อเตรียมจัดทำเป็นโรงฉายภาพยนตร์ เนื่องจากงบประมาณไม่เพียงพอดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด จึงไม่ได้ดำเนินการต่อในส่วนของโรงภาพยนตร์ แต่เปิดให้บริการเฉพาะส่วนจัดแสดงในอาคารทั้ง 2 ชั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 เป็นต้นมา โดยใช้ชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้อุตุนิยมวิทยา”
ความหมายของคำว่า “อุตุนิยมวิทยา”
อุตุ แปลว่า ฤดู
นิยม แปลว่า กำหนด
วิทยา แปลว่า วิชาความรู้
“อุตุนิยมวิทยา”(Meteorology) หมายความว่า วิชาที่กล่าวถึงเรื่องราวของบรรยากาศ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศกับพื้นโลก มหาสมุทร และสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป วิชานี้เกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพ ทางเคมีและการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ จุดมุ่งหมายของวิชานี้อยู่ที่การศึกษาให้เข้าใจในเรื่องราวของบรรยากาศ การพยากรณ์อากาศให้เป็นไปโดยสมบูรณ์ถูกต้องและแม่นยำ (ปทานุกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับประชาชน, 2558)
รูปแบบการจัดแสดง
เน้นในเรื่องของสาระ ความรู้ เข้าใจง่าย และสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยแต่ละห้องจะให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสและมีส่วนร่วมในการแสดงนั้นๆ อาทิ อุปกรณ์ เครื่องมือ การตรวจวัดทางอุตุนิยมวิทยาชนิดต่างๆ แผ่นดินไหว สภาวะโลกร้อน และการค้นหาคำตอบที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยา และที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น แบ่งเป็น
ห้องที่ 1 โลกแห่งอุตุนิยมวิทยา เป็นเรื่องของวิวัฒนาการความรู้อุตุนิยมวิทยา ว่ามีที่มาอย่างไรจนได้เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งและก่อตัวเป็นองค์กรระหว่างประเทศ ในห้องนี้ได้นำเสนอแนวคิด “การเดินทางความรู้อุตุนิยมวิทยา” เมื่อต้องผจญกับความกลัว ความเดือดร้อนจากปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นเวลานาน มนุษย์จึงเริ่มสังเกตเหตุการณ์จากธรรมชาติทั้ง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว จากพืช และพฤติกรรมของสัตว์ มาใช้เป็นลางบอกเหตุ และหันมาศึกษาธรรมชาติ อย่างจริงจัง ทั้งด้าววิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ทำให้มนุษย์ค้นพบสิ่งใหม่ที่ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนของแนวความเชื่อเดิมๆ เรื่อยมาจนถึงยุควิทยาศาสตร์ ที่สามารถบอกปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เปลี่ยนแปลงความกลัวเป็นองค์ความรู้ และสามารถนำปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ มาใช้ประโยชน์ หรือ ป้องกันตัวเองจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆได้
- พ.ศ. 160-222 (350 ปี ก่อนคริสตศักราช) อริสโตเติล อธิบาย ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าด้วยฟิสิกส์พื้นฐาน ความร้อนแห้งเคลื่อนที่ในอากาศ ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ฟ้าแลบ และลม ส่วนความเย็นชื้น ทำให้เกิดเมฆฝน หิมะ ลูกเห็บ และเมฆ
- พ.ศ. 1955-2062 ลิโอนาโด ดาวินชี สังเกตความเคลื่อนที่ของกระแสลมสองกระแสที่ตรงข้ามกันว่า ทำให้เกิดจากการรวมตัวกันของก้อนเมฆ
- พ.ศ. 2017-2185 กาลิเลโอ ประดิษฐ์ เครื่องวัดอุณหภูมิที่เรียกว่า “ปรอท” ให้สำรวจอุณหภูมิมนุษย์และสภาพอากาศ
- พ.ศ. 2295 เบนจามินแฟรงคลีน คิดค้นสายล่อฟ้าจุดเริ่มต้นของการใช้แนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ ในการป้องกันภัยธรรมชาติ และได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้ากรีกองค์ใหม่ ที่สามารถขโมยไฟจากสวรรค์มาใช้
- พ.ศ. 2482-2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 ชาว “อังกฤษ” ประดิษฐ์ เรดาร์ตรวจสภาพบรรยากาศ สหรัฐอเมริกา พัฒนาเรดาร์เพื่อใช้ในการศึกษาลักษณะและทิศทางการเคลื่อนที่ของพายุเฮอริเคน
- พ.ศ. 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุ่นลอย ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลในพื้นที่ห่างไกล เช่น มหาสมุทรและส่งโดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเติมเกร็ดความรู้ในด้านอุตุนิยมวิทยาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
- พ.ศ. 2503 1 เมษายน 2503 การศึกษาด้านอุตุนิยมวิทยาก้าวไกลอย่างมหาศาลเมื่อสหรัฐอเมริกาปล่อยดาวเทียมสำรวจอากาศดวงแรก ชื่อ ไทรอส(TIROS ย่อมาจาก Television Infared Observation Satellite) ขึ้นสู่อวกาศโดยมีเครื่องมือเทคโนโลยีตรวจอากาศเต็มรูปแบบ
ห้องที่ 2 บ้านนักพยากรณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กับพระปรีชาสามารถด้านอุตุนิยมวิทยา “น่าจะมีลู่ทางที่จะคิดค้นหาเทคนิคหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้านการดัดแปลงสภาพอากาศ มาช่วยให้เกิดการก่อ และรวมตัวของเมฆให้เกิดฝน”
พระราชดำริ พ.ศ.2499 เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อปวงชนชาวไทยว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสอดส่องความเป็นอยู่ของประชาชนทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ ที่อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพในการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ โดยทรงวิเคราะห์ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลเรดาร์ ดาวเทียมและคำพยากรณ์อากาศทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ ประกอบเข้ากับสภาพภูมิศาสตร์ในแต่ละท้องถิ่น ทรงเป็น เอตทัคคะ(ผู้ที่ยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ) ทรงเมตตา แนะนำวิธีการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ถึงแม้ต้องลงทุนบ้าง แต่ก็คุ้มเมื่อเทียบกับผลที่ช่วยลดความสูญเสียมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นนับเป็นอเนกอนันตคุณต่อกรมอุติยมวิทยา หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและสังคมทุกหมู่เหล่า
ผู้ให้กำเนิดอุตุนิยมวิทยาไทย พ.ศ.2449
เริ่มดำเนินงานในกรมทดน้ำ กระทรวงเกษตราธิการ เมื่อ พ.ศ. 2466 และต่อมาปลายปีได้จัดตั้ง เป็นแผนกอุตุนิยมศาสตร์ และสถิติกองรักษาน้ำ กรมทดน้ำ (ปัจจุบันคือกรมชลประทาน)
ห้องที่ 3 แผ่นดินและผืนน้ำ “แผ่นดินไหวในประเทศไทย”
รอยเลื่อน คือ รอยแตกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง หรือ เคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดรอยแตกร้าวบนผิวดินซึ่งการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกแต่ละครั้ง เป็นสาเหตุของ “แผ่นดินไหว” เชื่อไหมว่า มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ การสร้างเขื่อนใกล้กับบริเวณรอยเลื่อน การขุดเจาะภูเขา การทำเหมืองแร่ การระเบิดต่างๆ การทำงานของเครื่องจักร และการจราจร สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่มนุษย์กำลังเขย่าพื้นโลกส่งผลทำให้เกิด ภัยพิบัติ กระทบกับชีวิตมนุษย์เองโดยตรง
สึนามิ คือ คลื่นในทะเล คลื่นยักษ์ที่เกิดจากการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในน้ำ อาจมีสาเหตุมาจาก แผ่นดินไหวใต้ทะเล ผิวโลกใต้ทะเลทรุดตัว อุกกาบาตขนาดใหญ่ตกใส่ทะเล หรือการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ใต้ทะเล พลังงานมหาศาลจากสาเหตุเหล่านี้ จะถูกถ่ายเทไปยังน้ำทะเล ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของคลื่นสึนามิ ความเร็วของคลื่นสึนามิจะสัมพันธ์กับความลึก คือระดับน้ำยิ่งลึกมาก คลื่นยิ่งเคลื่อนที่เร็วมาก อาจมีความเร็วมากถึง 950 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสูงของคลื่นจะไม่มากแต่เมื่อคลื่นเข้าใกล้ชายฝั่งจะลดความเร็วลง ความสูงของคลื่นจะสูงขึ้นหลายเมตร สามารถสร้างความเสียหายบริเวณตามแนวชายทะเล ได้แก่บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ทรัพย์สิน เป็นต้น
ห้องที่ 4 ไขปริศนาแห่งท้องฟ้า
ชั้นบรรยากาศ “บรรยากาศ” เราขาดกันไม่ได้ อากาศจากพื้นดินจนสูงขึ้นไปในท้องฟ้า เรียกว่า “บรรยากาศ” ถึงแม้เราจะมองไม่เห็นแต่บรรยากาศกลับมีความสำคัญกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิต บนโลกมากมาย จนเราอาจคาดไม่ถึง “ฤดูกาล ความแตกต่างจาก 23.5 องศา” เพียง 23.5 องศาของแกนโลก ที่เอียงทำมุมกับเส้นตั้งฉากกับ แนวระนาบของการโคจรรอบดวงอาทิตย์ใน 1 ปี ทำให้ทุกพื้นที่ของโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่แตกต่างกัน เราเรียกความต่างนี้ว่า “ฤดูกาล”
ห้องที่ 5 ส่วนผสมของสภาพอากาศ
อากาศมีน้ำหนัก น้ำหนักของอากาศ ก็คือ ความกดอากาศหรือเป็นแรงกดของอากาศทั้งหมดที่อยู่เหนือระดับผิวโลก โดยกดทับในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ความกดอากาศในแต่ละพื้นที่จะมีค่าเปลี่ยนแปลงตามเวลา ความหนาแน่นของโมเลกุลในอากาศ ซึ่งความกดอากาศจะลดลง เมื่ออยู่ในระดับความสูงที่มากขึ้น จำง่ายๆคือ “ยิ่งสูงความกดอากาศยิ่งต่ำ” นั่นเอง
เมฆ คือละอองน้ำ หรือเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ จำนวนหลายล้านหยดที่รวมตัวกัน เป็นกลุ่มลอยตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศซึ่งเราสามารถมองเห็นกลุ่มละอองน้ำเหล่านั้นด้วยตาเปล่า
แล้วเมฆเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะไอน้ำในอากาศ ลอยสูงขึ้นไปกระทบกับความเย็น บนชั้นบรรยากาศจนเกิดการกลั่นตัวโดยไอน้ำจะกลั่นตัวที่ผิวอนุภาคเล็กๆ ของฝุ่นละออง ,ควัน หรือ อนุภาคเกลือ เกิดเป็นหยดน้ำเล็กๆ ที่เรียกว่าละอองน้ำ (หรือเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ) จำนวนมากมาย เมื่อละอองน้ำหลายล้านหยดรวมตัวกันจะเกิดเป็นก้อนกลุ่มละอองน้ำ ที่เราเรียกว่าเมฆ นั่นเอง
ห้องที่ 6 ห้องปฏิบัติการของนักอุตุนิยมวิทยา
การตรวจอากาศ และการสื่อสารข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยมีศูนย์ตรวจสอบสภาพอากาศในรัศมีทุกๆ 150 กิโลเมตร ซึ่งศูนย์เหล่านี้ต้องส่งข้อมูลหลักๆ ทุก 6 ชั่วโมงเพื่อใช้ในการวิเคราะห์สภาพอากาศ แต่ข้อมูลตรวจอากาศภายในประเทศอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้ในการพยากรณ์อากาศของประเทศไทย จึงต้องอาศัยการสื่อสารข้อมูลผลการตรวจอากาศจากต่างประเทศมาประกอบการพยากรณ์อากาศด้วย
สารประกอบทางอุตุนิยมวิทยา คือ ข้อมูลที่ต้องการตรวจวัดเพื่อการพยากรณ์อากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่มีความสัมพันธ์กับลักษณะอากาศที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ได้แก่ ความกดอากาศ ลม อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ เมฆ หยาดน้ำฟ้า รังสีดวงอาทิตย์ การระเหยของน้ำ ทัศนะวิสัย
บริหารจัดการ
ประเภทพิพิธภัณฑ์
วัตถุจัดแสดงที่มีความสำคัญ / สิ่งที่น่าสนใจ
นิทรรศการความรู้ด้านอุตุนิยมวิทยาและภัยธรรมชาติ โดยการนำเสนอผ่านเทคโนโลยีทันสมัย สนุกและเข้าใจง่าย
แผนที่
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ
โทรศัพท์ : 02-366 9301 ต่อ 6101 - 6102
อีเมล : tmdpr@hotmail.com
วันและเวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ (ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
เวลา 09.00 น. - 16.00 น.
**สอบถามรายละเอียด หรือ ติดต่อเข้าชมได้ที่**
กลุ่มประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 อาคาร 50 ปี อุตุนิยมวิทยา
โทรศัพท์ 02 366 9301 ต่อ 6100 – 6102
ค่าเข้าชม
ฟรี
การเดินทาง
พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้อุตุนิยมวิทยา ตั้งอยู่ภายในบริเวณกรมอุตุนิยมวิทยา ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา
- การเดินทางรถโดยสารประจำทางสาย 2 23 25 102 129 142 365 511 536 1141
- รถไฟฟ้า BTS ลงสถานี บางนา
เนื้อหาสำหรับประชาชนทั่วไป
เนื้อหาสำหรับเด็ก
รับบัตรเครดิต
รับจองล่วงหน้า
**สอบถามรายละเอียด หรือ ติดต่อเข้าชมได้ที่**
กลุ่มประชาสัมพันธ์ ชั้น 1 อาคาร 50 ปี อุตุนิยมวิทยา
โทรศัพท์ 02 366 9301 ต่อ 6100 – 6102