แกลเลอรี
ข้อมูลพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์การป่าไม้
พิพิธภัณฑ์ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 เดิมเป็นโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ไม้สักสืบเนื่องจากจังหวัดแพร่ ได้มีคำสั่งที่ 436/2541 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2541 แต่งตั้งคณะทำงาน ดำเนินงานพิพิธภัณฑ์ไม้สัก ตามยุทธศาสตร์จังหวัดแพร่ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธาน ผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้ เป็นเลขานุการ และคณะทำงาน มีอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้ 4 ท่าน เป็นคณะที่ปรึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับการทำไม้สักในอดีต และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่
เมื่อปี พ.ศ.2547 จึงได้ขยายอาคารพิพิธภัณฑ์เพิ่มอีก 2 อาคาร และได้สร้างเป็นแหล่งเรียนรู้ดังนี้คือ
พิพิธภัณฑ์ 1 (MuseumI) แสดงประวัติโรงเรียนป่าไม้ อุปกรณ์การเรียนการสอน ป้ายชื่อโรงเรียนป่าไม้ยุคต่าง ๆ
พิพิธภัณฑ์ 2 (MuseumII) หรือพิพิธภัณฑ์ไม้สัก แสดงภาพการทำป่าไม้ในอดีต เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับการทำไม้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากไม้ เรื่องราวเกี่ยวกับไม้สัก ตัวอย่างไม้ชนิดต่าง ๆ
พิพิธภัณฑ์ 3 (MuseumIII) แสดงภาพประวัติการทำไม้ของบริษัทอิสต์เอเชียติค และภาพที่เกี่ยวข้องขณะที่บริษัทฯได้รับสัมปทานไม้สักในจังหวัดแพร่
จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ป่าไม้คือ มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมาที่น่าสนใจจึงเป็นสถานที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวยุโรปที่เข้ามาเยี่ยมเป็นจำนวนมากทุกปี ที่สำคัญคือ เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ให้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่สนใจ จึงเป็นสถานที่อันทรงคุณค่า
ประวัติบริษัทอิสต์เอเชียติ๊ก
เมื่อแรกก่อตั้งบริษัทฯ มีสำนักงานอยู่ 2 แห่ง คือ กรุงโคเปนเฮเกน และกรุงเทพฯ เท่านั้น
โดยสำนักงานที่กรุงเทพฯ เน้นที่ธุรกิจนำเข้าและการทำป่าไม้ ซึ่งได้มาจากสัมปทานเดิมของบริษัท Anderson Co.Ltd. และทำธุรกิจส่งออกไม้ การดำเนินธุรกิจเดิมของ Anderson Co. Ltd. โดยบริษัทอิสต์เอเชียติ๊กในกรุงโคเปนเฮเกน เป็นไปตามสาระสำคัญในการก่อตั้งบริษัท ว่าบริษัทฯ จะยังคงดำเนินธุรกิจของ Anderson Co. Ltd. ต่อไป ในกรุงเทพฯ และกรุงโคเปนเฮเกน และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมบริษัทอิสต์เอเชียติ๊กในประเทศไทยจึงถือเอา พ.ศ. 2427 (ค.ศ.1884) เป็นปีแห่งการก่อตั้งบริษัทฯ และทำการเฉลิมฉลอง 100 ปี ในปี พ.ศ.2527 (ค.ศ. 1984)
บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ปี บริษัทฯได้กลายเป็นบริษัทชิปปิ้ง บริษัทการค้าและมีกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของโลก ซึ่งการดำเนินธุรกิจของบริษัทอิสต์เอเชียติ๊ก ในประเทศไทยสอดคล้องและสนับสนุนโดยตรงกับการพัฒนาประเทศไทย
อุตสาหกรรมของประเทศไทยมีการพัฒนาต่อเนื่องกันมาหลายปี กิจกรรมของบริษัทฯ ได้เปลี่ยนจากการค้าสินค้าเกษตรมาเป็นการขยายตัวสู่ธุรกิจอุตสาหกรรม เช่น การค้าเคมีภัณฑ์และเครื่องจักรกลชั้นสูง พร้อมด้วยการบริการด้วยเทคนิคขั้นสูง และคุณภาพมาเป็นแรงสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันบริษัทอิสต์เอเชียติ๊ก (ประเทศไทย) ได้ร่วมทุนกับบริษัทอื่น ๆ ดำเนินธุรกิจกับสินค้าเกษตรและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจสี และธุรกิจอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และการเพาะพันธุ์ไม้
ประวัติบริษัท อิสต์เอเชียติค ในจังหวัดแพร่
การทำไม้ของไทยในอดีต ราษฎรต่างตัดฟันเอาไปใช้สอย หรือทำการค้าขายโดยเสรี ต่อมาเกิดมีการสงวนสิทธิ์ประเภทป่าไม้สัก โดยเจ้าผู้ครองนครของฝ่ายเหนือมีสิทธิ์เป็นเจ้าของและจะอนุญาตให้ใครทำไม้สักเป็นสินค้าได้ โดยเรียกเก็บเงินส่วยค่าตอบแทน
ต่อมา พ.ศ. 2385 ชาวอังกฤษในประเทศพม่า ได้มาขอตัดฟันไม้สัก และยินยอมชำระเงินให้แก่พระยาเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีเขตแดนปลายเมืองเชียงใหม่ ลำพูน และตาก โดยนำล่องเรือแม่น้ำสาละวินของประเทศพม่า จนเกิดเป็นกรณีพิพาทกันเองเมื่อปี พ.ศ. 2390 จึงมีการหยุดพักการทำไม้
ในประเทศไทย จึงเริ่มมีชาวต่างชาติสนใจที่จะค้าขายไม้จากรัฐบาลไทย ดังนั้น ในปี พ.ศ.2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติรักษาเมือง พ.ศ. 2417 ว่าด้วยการอนุญาตทำป่าไม้สักและเปลี่ยนแปลงอำนาจในการอนุญาตตัดฟันไม้สักจากเจ้าผู้ครองนครเป็นของรัฐบาล พ.ศ. 2426 จึงเริ่มมีบริษัทจากต่างชาติเข้ามาลงทุนทำไม้ในประเทศไทยตั้งแต่นั้นมา
บริษัท East Asiatic & Co.Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทของประเทศเดนมาร์กเริ่มเข้ามาทำสัมปทานการทำไม้สัก ในจังหวัดแพร่ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เป็นผู้ได้รับพระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้ทำสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อเป็นที่ทำการของบริษัท ในจังหวัดแพร่ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2449 และกัปตันรอบินส์ กุลเบิก ผู้จัดการบริษัท East Asiatic & Co.Ltd. ได้มาทำสัญญาเช่าสถานที่ เพื่อก่อตั้งจำนวนเนื้อที่ 6 ไร่ ตั้งอยู่ในตำบล ในกำแพงเวียง แขวงอำเภอเมือง แขวงเมืองแพร่ มณฑลพายัพ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่ 33 ถนนคุ้มเดิม อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ และบริษัทได้ปลูกสร้างอาคารใน บริเวณพื้นที่เช่าขึ้น(ปัจจุบันคงเหลืออยู่ 3 หลัง) นำมาจัดแสดงเป็นพิพิธภัณท์ การป่าไม้ ทั้ง 3 หลัง
พื้นที่เขตป่าสัมปทานของบริษัท คือทางฝั่งแม่น้ำยมตะวันออก หรือฝั่งขวาของจังหวัดแพร่ ต่อมาเมื่อบริษัทได้หมดสัมปทานลง รัฐบาลได้ตั้งกองโรงเรียนป่าไม้ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2478 รัฐบาลจึงได้ใช้พื้นที่เดิมของบริษัทเป็นสถานที่ก่อตั้งโรงเรียนป่าไม้ และเปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2479 โดยมีหลวงวิลาสวันวิท (เมธ รัตนประสิทธิ์) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้คนแรก
ประวัติการจัดการป่าไม้ในประเทศไทย
กิจการป่าไม้สักในอดีต
กิจการป่าไม้ หรือประวัติศาสตร์ด้านป่าไม้ในประเทศไทย อาจกล่าวได้ว่าเริ่มต้นและพัฒนามาจากการทำไม้ หรือการตัดฟันชักลากไม้สักในทางภาคเหนือของประเทศ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2383 โดยมีชาวจีน พม่า และเงี้ยว (ไทยใหญ่) ขออนุญาตจากเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ในหัวเมืองทางเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ให้เข้าไปตัดฟันไม้สักออกจากป่า โดยเสียเงินค่า “ตอไม้” ให้แก่เจ้าผู้ครองนครที่เป็นเจ้าของป่า หลังจากที่รัฐบาลไทยได้ตกลงทำสนธิสัญญาบาวริ่ง (Bowring Treaty) เพื่อการติดต่อค้าขายกับอังกฤษ ในพ.ศ.2398 ชาวอังกฤษและคนในบังคับ
ต่อมา พ.ศ.2385 ชาวอังกฤษในประเทศพม่า ได้มาขอตัดฟันไม้สักและยินยอมชำระเงินให้แก่พระยาเมืองเชียงใหม่ มีเขตแดนปลายเมืองเชียงใหม่ ลำพูน และตาก โดยนำล่องทางแม่น้ำสาละวินของประเทศพม่า จนเกิดกรณีพิพาทกันเอง เมื่อ พ.ศ.2390 จึงมีการหยุดชะงักการทำไม้พม่า
สภาพเจ้าของป่า
ในอดีต ไม้สักของไทยเป็นที่รู้จักกันเฉพาะกลุ่มของบุคคลชั้นสูง และผู้ดีมีเงิน โดยมีพ่อค้าจีนขออนุญาตทำไม้สักจากผู้ครองนครฝ่ายเหนือออกมาจำหน่ายภายในประเทศเป็นจำนวนไม่มากนัก ชื่อเสียงของไม้สักไทย เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปยังชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2414 เมื่อ มร.แอนเดอร์ซัน (Captain H.N.Andersen) กัปตันเรือชาวเดนมาร์ค ได้รวบรวมซื้อไม้สักจากชาวจีนนำบรรทุกเรือสำเภาไทยชื่อ ทูลกระหม่อม จนเต็มระรางแล้วนำไปขายที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ได้กำไรเกือบ 100 เท่า ชื่อเสียงของไม้สักไทยจึงได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปในหมู่ชาวยุโรปซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในภาคเหนือ
ในปี พ.ศ.2426 รัฐบาลไทยได้เริ่มอนุญาตให้ชาวยุโรปเข้ารับสัมปทานทำไม้สักในประเทศไทยได้และช่วงเดียวกันหลังจาก พ.ศ.2428 เป็นต้นมา พม่าก็ได้ปิดป่าสักไม่ให้มีการทำไม้ เนื่องจากสภาพป่าสักเสื่อมโทรมลงมากจากการทำไม้ของบริษัทต่างชาติความต้องการไม้สักในหมู่ประเทศยุโรปจึงมีมากขึ้น ทำให้บริษัทต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนทำไม้สักเพิ่มขึ้น บริษัท บริติชบอร์เนียว ได้รับสัมปทานทำไม้สักใน พ.ศ.2432 บริษัท บอมเบย์เบอร์มา (Bombay Burma Trading Corporatimg,Co. Ltd.) ของอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และมีอิทธิพลมากในประเทศพม่าเข้ามาใน พ.ศ.2432 ต่อจากนั้น ก็มีบริษัทสยามฟอเรสต์ (Siam Forest Company,Co.Ltd.) หรือบริษัท แองโกลไทย จำกัดในปัจจุบัน บริษัทอีสต์เอเชียติค (East Asiatic Coltd) ของเดนมาร์ค ในพ.ศ.2437 บริษัทหลุยส์ เลียวโนเวนส์ (Louis T.Leonowens Co.Ltd.) ซึ่งแยกมาจากบริษัท บริติช บอร์เนียว
ก่อนปี พ.ศ.2438 ใน 5 นครภาคเหนือของประเทศสยาม คือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน สมัยเจ้าผู้ครองนคร ป่าไม้ในภาคเหนือ อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สัก เจ้าผู้ครองนครมีอำนาจออกสัมปทานทำไม้สักได้เองเป็นเรื่องที่บริษัท บอมเบย์เบอร์ม่า กำลังจะส่งคนมาหาความรู้ รัฐบาลสยามได้ทราบจึงรู้สึกวิตก เพราะการที่ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเพราะการทำไม้สักของบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าในสมัยนั้นเป็นต้นเหตุ จึงได้ว่าจ้างชาวอังกฤษผู้ชำนาญการป่าไม้ พร้อมด้วยนักเรียนไทย 4 คน ขึ้นไปตรวจสอบป่าไม้สักภาคเหนือ โดยรัฐบาล (สมัยรัชกาลที่ 5) จะรับเอากิจการป่าไม้ตลอดจนเรื่องภาษีอากรมาจากเจ้าผู้ครองนคร โดยให้เจ้าผู้ครองนครได้รับค่าทดแทนตามสมควร ซึ่งเจ้าครองนครได้รับทราบ คำชี้แจงพระบรมราโชบายโดยเจ้าจอม “ดารารัศมี” แล้วก็เห็นพ้องด้วย (ผลสำเร็จในการชี้แจงในครั้งนี้ เจ้าจอมฯจึงได้รับพระราชทานยศเป็น “พระราชชายา”) พ.ศ. 2439 ต่อมามีบริษัทของคนไทย คือ บริษัทล่ำซำ และบริษัทกิมเซ่งหลีได้รับสัมปทานทำไม้สักจากป่าต่างๆ จากเจ้าเมืองเพิ่มขึ้น การทำไม้สักจึงได้ขยายออกไปถึง จังหวัดอื่นๆ ที่มีไม้สักอยู่
การได้ทำสัมปทานไม้สักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแก่งแย่งการทำไม้ในแต่ละแปลงสัมปทาน มีการขัดผลประโยชน์ระหว่างบริษัทต่อบริษัท และบริษัทต่อเจ้าเมืองต่างๆ จึงเกิดเรื่องร้องทุกข์ และฟ้องร้องไปยังรัฐบาลอยู่บ่อยๆใน พ.ศ. 2438 – 2439 รัฐบาลจึงได้จ้างผู้เชี่ยวชาญป่าไม้ชาวอังกฤษ ซึ่งมาสำรวจและวางโครงการการจัดการป่าไม้ในประเทศพม่า ให้แก่รัฐบาลอังกฤษ ชื่อ มร.เอช สเลด (H. Slade) มาสำรวจการทำไม้และปัญหาต่างๆในการให้สัมปทานทำไม้แก่บริษัทต่างๆ ในภาคเหนือของประเทศ ในวันที่ 18 กันยายน 2439 รัฐบาลจึงได้จัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้น มีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ (ตัวอาคารที่ทำการสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่)ในปัจจุบัน) มีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองป่าไม้ บำรุงส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของป่าและจัดวางโครงการจัดการป่าไม้ ตามหลักวิชาการอย่างถูกต้อง
สภาพเจ้าของป่า
ในอดีต ไม้สักของไทยเป็นที่รู้จักกันเฉพาะกลุ่มของบุคคลชั้นสูง และผู้ดีมีเงิน โดยมีพ่อค้าจีนขออนุญาตทำไม้สักจากผู้ครองนครฝ่ายเหนือออกมาจำหน่ายภายในประเทศเป็นจำนวนไม่มากนัก ชื่อเสียงของไม้สักไทย เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปยังชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2414 เมื่อ มร.แอนเดอร์ซัน (Captain H.N.Andersen) กัปตันเรือชาวเดนมาร์ค ได้รวบรวมซื้อไม้สักจากชาวจีนนำบรรทุกเรือสำเภาไทยชื่อ ทูลกระหม่อม จนเต็มระรางแล้วนำไปขายที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ได้กำไรเกือบ 100 เท่า ชื่อเสียงของไม้สักไทยจึงได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปในหมู่ชาวยุโรปซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในภาคเหนือ
ในปี พ.ศ.2426 รัฐบาลไทยได้เริ่มอนุญาตให้ชาวยุโรปเข้ารับสัมปทานทำไม้สักในประเทศไทยได้และช่วงเดียวกันหลังจาก พ.ศ.2428 เป็นต้นมา พม่าก็ได้ปิดป่าสักไม่ให้มีการทำไม้ เนื่องจากสภาพป่าสักเสื่อมโทรมลงมากจากการทำไม้ของบริษัทต่างชาติความต้องการไม้สักในหมู่ประเทศยุโรปจึงมีมากขึ้น ทำให้บริษัทต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนทำไม้สักเพิ่มขึ้น บริษัท บริติชบอร์เนียว ได้รับสัมปทานทำไม้สักใน พ.ศ.2432 บริษัท บอมเบย์เบอร์มา (Bombay Burma Trading Corporatimg,Co. Ltd.) ของอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่และมีอิทธิพลมากในประเทศพม่าเข้ามาใน พ.ศ.2432 ต่อจากนั้น ก็มีบริษัทสยามฟอเรสต์ (Siam Forest Company,Co.Ltd.) หรือบริษัท แองโกลไทย จำกัดในปัจจุบัน บริษัทอีสต์เอเชียติค (East Asiatic Coltd) ของเดนมาร์ค ในพ.ศ.2437 บริษัทหลุยส์ เลียวโนเวนส์ (Louis T.Leonowens Co.Ltd.) ซึ่งแยกมาจากบริษัท บริติช บอร์เนียว
ก่อนปี พ.ศ.2438 ใน 5 นครภาคเหนือของประเทศสยาม คือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน สมัยเจ้าผู้ครองนคร ป่าไม้ในภาคเหนือ อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สัก เจ้าผู้ครองนครมีอำนาจออกสัมปทานทำไม้สักได้เองเป็นเรื่องที่บริษัท บอมเบย์เบอร์ม่า กำลังจะส่งคนมาหาความรู้ รัฐบาลสยามได้ทราบจึงรู้สึกวิตก เพราะการที่ประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเพราะการทำไม้สักของบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่าในสมัยนั้นเป็นต้นเหตุ จึงได้ว่าจ้างชาวอังกฤษผู้ชำนาญการป่าไม้ พร้อมด้วยนักเรียนไทย 4 คน ขึ้นไปตรวจสอบป่าไม้สักภาคเหนือ โดยรัฐบาล (สมัยรัชกาลที่ 5) จะรับเอากิจการป่าไม้ตลอดจนเรื่องภาษีอากรมาจากเจ้าผู้ครองนคร โดยให้เจ้าผู้ครองนครได้รับค่าทดแทนตามสมควร ซึ่งเจ้าครองนครได้รับทราบ คำชี้แจงพระบรมราโชบายโดยเจ้าจอม “ดารารัศมี” แล้วก็เห็นพ้องด้วย (ผลสำเร็จในการชี้แจงในครั้งนี้ เจ้าจอมฯจึงได้รับพระราชทานยศเป็น “พระราชชายา”) พ.ศ. 2439 ต่อมามีบริษัทของคนไทย คือ บริษัทล่ำซำ และบริษัทกิมเซ่งหลีได้รับสัมปทานทำไม้สักจากป่าต่างๆ จากเจ้าเมืองเพิ่มขึ้น การทำไม้สักจึงได้ขยายออกไปถึง จังหวัดอื่นๆ ที่มีไม้สักอยู่
การได้ทำสัมปทานไม้สักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแก่งแย่งการทำไม้ในแต่ละแปลงสัมปทาน มีการขัดผลประโยชน์ระหว่างบริษัทต่อบริษัท และบริษัทต่อเจ้าเมืองต่างๆ จึงเกิดเรื่องร้องทุกข์ และฟ้องร้องไปยังรัฐบาลอยู่บ่อยๆใน พ.ศ. 2438 – 2439 รัฐบาลจึงได้จ้างผู้เชี่ยวชาญป่าไม้ชาวอังกฤษ ซึ่งมาสำรวจและวางโครงการการจัดการป่าไม้ในประเทศพม่า ให้แก่รัฐบาลอังกฤษ ชื่อ มร.เอช สเลด (H. Slade) มาสำรวจการทำไม้และปัญหาต่างๆในการให้สัมปทานทำไม้แก่บริษัทต่างๆ ในภาคเหนือของประเทศ ในวันที่ 18 กันยายน 2439 รัฐบาลจึงได้จัดตั้งกรมป่าไม้ขึ้น มีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ (ตัวอาคารที่ทำการสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่)ในปัจจุบัน) มีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองป่าไม้ บำรุงส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของป่าและจัดวางโครงการจัดการป่าไม้ ตามหลักวิชาการอย่างถูกต้อง
( มร.เอส สเลด ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณจนถึงปี พ.ศ.2444 รวมระยะเวลา 4 ปีครึ่ง
จึงได้กราบถวายบังคมลาออก ในระหว่างที่บริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งเจ้ากรมป่าไม้ ได้ปฏิบัติที่สำคัญอีกอย่างคือ กำหนดให้มีการตากไม้สักให้แห้งก่อนตัดฟัน 2 ปี ตามหลักวิชาการป่าไม้ กำหนดขนาดต่ำสุดของไม้สักที่จะสัมปทานไว้ด้วย ได้จัดตั้งด่านป่าไม้กาโด ขึ้นที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่าเพื่อจัดการกับไม้สักไทยที่ล่องแม่น้ำสาละวินของพม่าได้จัดตั้งด่านป่าไม้ที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ในปี 2441 แทนด่านป่าไม้เดิม ที่ตั้งอยู่ จังหวัดชัยนาท / ได้เริ่มส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิขาการป่าไม้ ณ ต่างประเทศ )
การยกเลิกสัมปทานของชาวต่างประเทศพ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงก่อตั้งกรมป่าไม้ ครั้งแรก มี มร. เอส เสลด เป็นเจ้ากรมป่าไม้คนแรกจึงได้เป็นผู้จัดการเรื่องการอนุญาต การทำไม้
พ.ศ.2497 สัมปทานป่าไม้สักของบริษัทต่างประเทศได้หมดลงทุกป่า พ.ศ.2440 – 2443 รัฐบาลได้ดำเนินการเจรจา และได้รับโอนกรรมสิทธิ์พื้นที่ป่าและการอนุญาตให้สัมปทานทำไม้จากเจ้าเมืองต่างๆให้มาเป็นสมบัติของของแผ่นดินเพื่อรัฐบาลจะได้ดำเนินกิจการป่าไม้สักทองรัฐบาลได้ยินยอมจ่ายเงินส่วนแบ่งค่าตอไม้ส่วนหนึ่งของที่เก็บได้ทุกปีให้แก่เจ้านายฝ่ายเหนือที่เคยได้รับอยู่
การจัดการป่าไม้โดยการจัดการจากรัฐบาล
พ.ศ. 2443 เป็นต้นมา รัฐบาลได้ประกาศพระราชบัญญัติและกฎหมายป่าไม้ต่างๆ เกี่ยวกับระเบียบการทำไม้ การตั้งด่านภาษี เป็นต้น ได้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาอนุญาตทำป่าไม้สักกับบริษัทต่างๆให้รัดกุมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และถูกต้องตามหลักวิชาการมากยิ่งขึ้นทั้งให้สัญญาอนุญาตป่าไม้ สัญญาละ 6 – 12 ปี ต่อมาได้ขยายสัญญาออกเป็นสัญญาละ 15 ปี ตามหลักการจัดป่าสัก โดยวางโครงการตัดฟัน 30 ปี เริ่มต้นใน พ.ศ. 2451 ต่อมาใน พ.ศ. 2453 โดยย้ายที่ทำการกรมป่าไม้จากจังหวัดเชียงใหม่มาอยู่ที่กรุงเทพฯ (และได้ย้ายสังกัดจากกระทรวงมหาดไทยไปขึ้นกับกระทรวงเกษตรธิการ หรือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2464)
ปี 2449 ได้มีการทดลองปลูกสร้างสวนสักโดยอาศัยชาวไร่ (Tuangya cystem) ซึ่งเป็นวิธีที่ประเทศพม่านำมาใช้ได้ผล จึงนำมาใช้ที่จังหวัดแพร่ ในปี 2451ได้มีการเปลี่ยนแปลงรอบตัดฟันไม้สัก (Felling cycle)ซึ่งเดิมกำหนดไว้ 12 ปี และอนุญาตให้ทำครั้งละ 6 ปี มาเป็นรอบตัดฟัน 30 ปี และกำหนดให้ทำครั้งละ 15 ปี พ.ศ. 2453 รัฐบาลได้ริเริ่มปลูกสร้างสวนสัก
ต่อมาปี 2455 กรมป่าไม้ได้ริเริ่มทำไม้สักออกมาจำหน่ายเอง ที่ป่าแม่แฮด จังหวัดแพร่ และ พ.ศ.2461 ได้จัดตั้งกองกานไม้ขึ้นที่จังหวัดลำปาง เพื่อดำเนินการกานไม้สักที่อนุญาตให้ทำออกเสียเอง แทนที่จะให้ผู้รับอนุญาตเป็นผู้สับกานดังเช่นที่เคยกระทำมา
พ.ศ.2456 ได้เริ่มขยายการควบคุมการทำไม้กระยาเลย และของป่า ประกาศใช้ พ.ร.บ. รักษาป่า พ.ศ.2456 ในมณฑลนครสวรรค์
พ.ศ.2456 กรมป่าไม้ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้เข้าทำไม้ในป่าแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ มีการทำรายงานกิจการจัดเป็นประวัติกรมป่าไม้ที่ทำขึ้นครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษ
สมัยที่เศรษฐกิจของประเทศที่ตกต่ำเป็นอย่างมาก งานส่วนใหญ่จึงเป็นไปในด้านปรับปรุงเกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ คือ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีค่าตอ มาเป็นการเก็บค่าภาคหลวงตามปริมาตรไม้คิดเป็นตัน (1 ตัน = 50 ลูกบาศก์ฟุต) เมื่อปี 2476
ต่อมาเมื่อประเทศไทยได้ประกาศใช้มาตราเมตริกเป็นมาตรฐานในการชั่ง ตวง วัด การเก็บค่าภาคหลวงไม้จึงได้คิดจากหน่วยเมตรลูกบาศก์ แทนการคิดเป็นตันดังที่เคยกระทำมา
คำว่าค่าภาคหลวง ใช้ภาษาอังกฤษว่า Royalty หรือ Royal duty หมายถึง ภาษีที่รู้จักเก็บที่ได้รับอนุญาตให้นำทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้ เช่น ไม้จากป่าธรรมชาติ แร่ธาตุ ปิโตรเลียม เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2481 ได้ผลักดันให้พระราชบัญญัติคุ้มครอง และสงวนป่า พ.ศ. 2481 ออกมาบังคับใช้ นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ป่าไม้ของไทย เพราะได้มีความพยายามเสนอกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2483 รัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินได้มอบการบริหารส่วนท้องถิ่นให้ขึ้นกับจังหวัด ส่วนการบริหารทางวิชาการคงขึ้นกับกรมป่าไม้ ปีนี้ ป่าไม้ภาคลำปางได้เชิญชวนปลูกต้นไม้วันชาติ 24 มิถุนายน 2481ขยายไปทั่วประเทศ
ระยะเวลาบริหารราชการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2484 – 2490 เป็นช่วง 70 ปีหลังจากตั้งกรมป่าไม้ และ เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกิจการป่าไม้ของชาติอยู่หลายประการ
พ.ศ. 2484 ประกาศใช้ พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 และมีโครงการริเริ่มปลูกสร้างสวนป่าไม้สัก
พ.ศ. 2485 ตั้งสถานีวนกรรมห้วยไร่ อำเภอสูงเม่น (อำเภอเด่นชัย) จังหวัดแพร่ หนองแก และ พุแค รวม 3 แห่ง
พ.ศ. 2490 คณะกรรมการและสมาชิก สมาคมโรงเลื่อยจักรได้ตกลงเป็นเอกฉันท์ให้จัดทำเกณฑ์แยกชิ้นไม้ สำหรับไม้สักแปรรูปขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือ จาก พระยาอนุมัติวนรักษ์ ในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายเทคนิคของสมาคม
พ.ศ. 2490 ได้มีการจัดตั้ง องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เพื่อรับงานทำไม้แทนกองทำไม้ของกรมป่าไม้ มีหน้าที่คือ ทำไม้สักออกมาจำหน่ายในนามของรัฐบาล ทำไม้กระยาเลย ริเริ่มอุตสาหกรรมป่าไม้ทุกรูปแบบ รวมทั้ง ช่วยเหลือรัฐในด้านการปลูกสวนป่าด้วย
บริหารจัดการ
ประเภทพิพิธภัณฑ์
แผนที่
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ
วันและเวลาทำการ
วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30
ค่าเข้าชม
ไม่เก็บค่าธรรมเนียม
เนื้อหาสำหรับประชาชนทั่วไป
เนื้อหาสำหรับเด็ก
รับบัตรเครดิต
รับจองล่วงหน้า
หากมีความประสงค์เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เป็นคณะ ในวันเวลาราชการหรือ นอกวันเวลาราชการ
เห็นควรทำหนังสือถึง ผู้อำนวยการสถาบันประชารัฐพิทักษ์ป่า