แกลเลอรี
ข้อมูลพิพิธภัณฑ์
พระนครคีรีหรือเขาวัง เดิมเป็นพระราชวังในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ตั้งอยู่บนยอดเขา 3 ยอดติดต่อกัน ยอดสูงที่สุดสูง 95 เมตร ภูเขานี้เดิมนั้นเรียกว่า เขาสมน(สะ-หมน) บริเวณไหล่เขาทางด้านทิศตะวันออก มีวัดแห่งหนึ่งชื่อ วัดสมณ(สะ-มะ-นะ) ในหมายรับสั่งรัชกาลที่ 4 ปรากฏชื่อว่า เขามหาสมณ ในปี พ.ศ.2404 พระองค์ได้พระราชทานนามว่า "เขามหาสวรรค์" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "เขามไหสวรรย์"
รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างพระราชวังบนเขามไหสวรรย์ ในปี พ.ศ.2402 โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) เป็นแม่กองในการก่อสร้าง และพระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ (ท้วมบุนนาค) เป็นนายงานก่อสร้าง เมื่อสร้างแล้วเสร็จจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "พระนครคีรี"
จากโคลงลิลิต “มหามงกุฎราชคุณานุสรณ์” พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กล่าวถึงการก่อสร้างพระนครคีรีไว้ว่า
นิมิตรมณเฑียรบนยอด สิงขร
เมืองเพชรบุรีนาม ก่อนอ้าง
เขามหาสมณะนคร คิรีราชะ ทานแฮ
สามยอดยามเยื้องสร้าง ต่างกัน ฯ
และกล่าวถึงการก่อสร้างไว้คือ
บรมกษัตริย์ตรัสสั่งเจ้า พระยาทหารเอกเอย
ศรีสุริยวงศ์แม่กอง โก่นสร้าง
เพชรพิสัยอนุชานายงาน นวะกิจ เกรียงแฮ
พระปลัดเคยเมื้อด้าว บริเตียน ฯ
การก่อสร้างพระราชวังสร้างบนยอดเขาทั้งสามยอด คือ ยอดเขาทางทิศตะวันตกทรงสร้างพระที่นั่งที่ประทับ, ยอดเขาตะวันออกทรงสร้างวัดพระแก้วน้อย และยอดกลางทรงสร้างพระธาตุจอมเพชร พระราชทานนามว่า “พระนครคีรี ”
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ในหนังสือความทรงจำ ว่า “...พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระดำริเห็นว่า ถึงคราวโลกยวิสัยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยฝรั่งมามีอำนาจขึ้นทางตะวันออกนี้ และประเทศไทยอาจจะมีการเกี่ยวข้องกับฝรั่งขึ้นในวันข้างหน้า จึงทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ...วิชาความรู้ต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาจากตำราภาษาอังกฤษจะมีอย่างไรบ้าง ข้อนี้มีหลักฐานปรากฏแต่ว่าได้ทรงศึกษาวิชาคณนาวิธีอย่างหนึ่ง....ถึงตอนพระชันษาระหว่าง 40 กับ 47 ทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ กับทั้งวิชาความรู้ต่างๆของฝรั่ง...”
จากการที่ รัชกาลที่ 4 ทรงศึกษาวิชาความรู้ของฝรั่งนี้ จึงทรงนำแบบอย่างของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกมาก่อสร้างพระราชวัง และพระที่นั่งต่างๆ ในรัชสมัยของพระองค์ เช่น พระที่นั่งอนันตสมาคม หมู่พระอภิเนาว์นิเวศ ในพระบรมมหาราชวัง และพระนครคีรี เป็นต้น
การก่อสร้างพระนครคีรีนี้ ได้นำสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิคมาเป็นแบบ แต่ฝีมือช่างนั้นมีอิทธิพลของงานสถาปัตยกรรมจีน เช่น การปั้นสันหลังคา และการใช้กระเบื้องกาบกล้วย เป็นต้น
ประวัติโบราณสถานที่สำคัญบนพระนครคีรี
พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ เป็นพระที่นั่งองค์ใหญ่ที่สุดในหมู่พระที่นั่งบนพระนครคีรี ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับออกขุนนางในสมัยรัชกาลที่ 4 และในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้บูรณะและดัดแปลงเป็นที่ประทับของพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ คือ ดุ๊กโยฮัน อัลเบรกต์ และเจ้าหญิงอลิสซาเบต สโตล เบิร์กรอซ ซาล่า ผู้สำเร็จราชการเมืองบรันชวิก ประเทศเยอรมนี
ประกอบด้วย ท้องพระโรงด้านหน้า เป็นห้องเสวย ห้องออกขุนนาง ห้องบรรทมสำหรับพระราชอาคันตุกะ ห้องทรงพระสำราญ และห้องสรง
พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ อยู่ติดกับพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ โดยมีประตูเชื่อมระหว่างอาคาร ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างสันนิษฐานว่าเป็นที่ทำการของโขลนทวารฝ่ายใน ส่วนชั้นบนแบ่งออกเป็นสามห้อง ได้แก่ ห้องทรงพระอักษร ห้องฉลองพระองค์ และห้องบรรทม
พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท เป็นอาคารทรงปราสาทปรางค์ 5 ยอด สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการสร้าง ‘ปราสาท’ แบบไทยประเพณี และยังเกี่ยวข้องกับคติ “อินทราชา” ซึ่งเปรียบเสมือนกษัตริย์ คือ พระอินทร์ ผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ความเชื่อดังกล่าวเป็นคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณของไทย อาคารตั้งอยู่บนฐานสูงซ้อนกัน 3 ชั้น แต่ละชั้นมีระเบียงลูกกรงแก้วล้อมรอบ ฐานชั้นบนสุดมุมทั้งสี่มีกระโจมไฟเป็นรูปโด่งโปร่ง
ภายในอาคารประดิษฐานพระบรมรูป รัชกาลที่ 4 ในชุดฉลองพระองค์ ที่มีพระราชดำริขึ้นเป็นแบบใหม่ ประกอบด้วยทรงพระมาลา(หมวก)ทรงหม้อตาล, ฉลองพระองค์เสื้อเยียรบับ, ชายฉลองพระองค์ตัดเป็นกลีบอย่างเสื้อลายสก๊อตมีตรามหาอุณาโลม, พระภูษา(ผ้านุ่ง) โจงขอบเชิง, ทรงฉลองพระบาท โดยเครื่องทรงชุดนี้ ได้เคยฉลองพระองค์เสด็จออกรับทูตานุทูตมาแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า พระบรมรูป เป็นประติมากรรมชิ้นแรกของสยามที่ปั้นขึ้นในขณะที่บุคคลผู้เป็นแบบของประติมากรรมยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งมูลเหตุของการสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เกิดจากการเชื่อมความสัมพันธไมตรีระหว่างสยามกับชาติตะวันตก
พระที่นั่งราชธรรมสภา เป็นพระที่นั่งชั้นเดียว ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประตูและหน้าต่าง ทำรูปแบบเป็นวงโค้ง ตกแต่งด้วยเสาปลอมติดผนัง หัวเสาเป็นแบบศิลปะกรีกแบบไอโอนิค เหนือหัวเสาทำลวดลายลักษณะรูปร่างคล้ายถังไม้ ด้านบนมีดอกไม้ อาวุธ และริ้วผ้าพันเป็นปูนปั้น
หอชัชวาลเวียงชัย เป็นอาคารในผังกลม ภายในมีบันไดเวียนขึ้นไปด้านบน ชั้นบนรอบนอกเป็นระเบียงที่ล้อมรอบด้วยลูกกรงแก้ว ทำด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว หลังคาทำเป็นรูปโดมมุงด้วยกระจกโค้ง ภายในโดมห้อยโคมไฟ รัชกาลที่ 4 ทรงใช้เป็นที่ส่องกล้องทอดพระเนตรดวงดาว เนื่องด้วยพระองค์ทรงมีความสนพระทัยในด้านดาราศาสตร์
พระที่นั่งสันถาคารสถานและกลุ่มอาคารในบริเวณ 8 หลัง
เป็นหมู่พระที่นั่งขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางขวามือของพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นที่ประทับฝ่ายใน ต่อมาใช้สำหรับเป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะที่มาพักบนพระนครคีรี โดยพระที่นั่งสันถาคารหรืออาคารประธาน ตั้งอยู่กึ่งกลางและมีอาคารประกอบ 7 หลังตั้งอยู่โดยรอบ ภายในอาคารประธานกึ่งกลางสันนิษฐานว่า เดิมเป็นห้องรับแขก และสองข้างเป็นห้องนอน ด้านที่ติดกับโรงโขนมีมุขยื่นออกไปเป็นที่ประทับทอดพระเนตรนาฏศิลป์
โรงมหรสพ หรือ โรงโขน ตั้งอยู่ทางขวามือของศาลาด่านกลางและทางขึ้นศาลาด่านหน้า เวทีลักษณะเป็นอัฒจันทร์กว้าง 8 เมตร ยาว 27 เมตร ก่อกำแพงทึบเป็นฉากกั้นกลาง มีประตู 2 ข้าง ส่วนหลังฉากขนาดเท่าเวที เป็นที่แต่งตัวและที่พักของนักแสดง ด้านหน้าเวทีเป็นลานดินกว้าง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนข้าราชการและราษฎรชาวเพชรบุรีได้มีโอกาสชมละครราชสำนัก
พระธาตุจอมเพชร เป็นเจดีย์ทรงลังกาแบบพระราชนิยม ตั้งอยู่บนยอดเขาลูกกลางของพระนครคีรี แต่เดิมเป็นที่ตั้งของเจดีย์วัดอินทคีรี ซึ่งขณะนั้นมีสภาพทรุดโทรม รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าให้ก่อเจดีย์องค์ใหม่ครอบทับเจดีย์องค์เดิม ในส่วนบริเวณส่วนองค์ระฆังเป็นโถงโล่ง สามารถเดินเข้าไปได้
เขตพุทธสถานวัดพระแก้ว(น้อย) ประกอบไปด้วย พระปรางค์แดง สันนิษฐานว่าเป็นการจำลองแบบปราสาทตาพรมและมีอาคารศาลาราย 3 หลังตั้งอยู่โดยรอบ ถัดขึ้นไป คือ หอระฆัง ด้านหลัง คือ พระสุทธเสลเจดีย์ สร้างจากการตัดหินจากเกาะสีชัง จ.ชลบุรี โดยช่างชาวจีน และนำมาประกอบบนพระนครคีรี
บริหารจัดการ
ประเภทพิพิธภัณฑ์
วัตถุจัดแสดงที่มีความสำคัญ / สิ่งที่น่าสนใจ
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท ซี่งตั้งอยู่บนยอดเขาทางทิศตะวันตกของพระนครคีรี(เขาวัง) พระบรมรูปฯในชุดฉลองพระองค์ที่มีพระราชดำริขึ้นเป็นแบบใหม่ และเครื่องทรงชุดนี้ได้เคยฉลองพระองค์เสด็จออกรับทูตานุทูตมาแล้ว ประกอบด้วย พระมาลา(หมวก)ทรงหม้อตาล ฉลองพระองค์เสื้อเยียรบับ ชายฉลองพระองค์ตัดเป็นกลีบอย่างเสื้อลายสก๊อตมีตรามหาอุณาโลม พระภูษา(ผ้านุ่ง)โจงขอบเชิง ฉลองพระบาท
พระราชอิริยาบถยืนตรงโดยพระเพลา(ขา) ขวาก้าวออกมาด้านหน้า ขณะที่ลักษณะของพระพักตร์ตอบ ทำให้เห็นรอยพระสิรัฐิ(กะโหลกศีรษะ) และเห็นรอยโหนกปราง พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบปลายพระแสงดาบลงพื้น พระหัตถ์ซ้ายทรงหนังสือ ประทับยืนอยู่ในใต้นพปฏลมหาเศวตฉัตร (ฉัตรเก้าชั้น) มุมพระโอษฐ์ขวาตกลงมามีรอยย่นระหว่างพระปราง(แก้ม) และพระโอษฐ์
มูลเหตุของการสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เกิดจากการเชื่อมความสัมพันธไมตรีระหว่างสยามกับชาติตะวันตก กล่าวคือ ในปี พ.ศ.2402 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (Emperor Napoleon III) ได้ส่งประติมากรรมรูปเหมือนของพระองค์และจักรพรรดินีอูจินี เดอ ม็องจู (Empress Euginie de Montijou) มาทูลเกล้าฯ ถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่ รัชกาลที่ 4
ในปี พ.ศ.2406 ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นโดย เอมิล ฟรังซัว ซาตรูส (Emile Franois Chatrousse) ประติมากรชาวฝรั่งเศส โดยประติมากรรมดังกล่าว เป็นประติมากรรมพระบรมรูปสัมฤทธิ์เคลือบทองแบบลอยตัว ในพระราชอิริยาบถยืน(ตริภังค์) โดยพระเพลาข้างหนึ่งรับน้ำหนักของพระสรีระ พระวรกายบิดเบี้ยวเล็กน้อย ทรงฉลองพระองค์ด้วยเสื้อนอก ทรงพระภูษาโจงและทรงพระมาลาสก๊อต ส่วนรายละเอียดของพระพักตร์ รวมทั้งลวดลายรอยยับของเครื่องทรงและเครื่องประดับมีลักษณะเหมือนจริงเป็นธรรมชาติ ตรงส่วนฐานสลัก “Chatrousse 1863 (ตรงกับปี พ.ศ.2406) Paris” พระบรมรูปองค์นี้ประติมากรน่าจะได้รับแรงบันดาลใจและรูปแบบจากพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ส่งไปถวายพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
แผนที่
ที่อยู่และเบอร์ติดต่อ
โทรศัพท์ : 032-401 006, 032-425 600
เว็บไซต์ : http://www.finearts.go.th/pranakornkeereemuseum/
อีเมล : kaowang_petch@hotmail.com
วันและเวลาทำการ
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น.
(ไม่เว้น วันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์)
ค่าเข้าชม
- ชาวไทย 20 บาท
- ชาวต่างชาติ 150 บาท
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี(เขาวัง) โดยการเดินขึ้น
หรือโดยสารรถรางไฟฟ้า(เปิด 08.30-16.30 น.) มีอัตราเสียค่าบริการดังนี้
แบบขึ้น-ลง
- ชาวไทย: ผู้ใหญ่ 50 บาท / เด็ก 15 บาท
- ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 50 บาท / เด็ก 15 บาท
แบบเที่ยวเดียว
- ชาวไทย : ผู้ใหญ่ 30 บาท / เด็ก 10 บาท
- ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 50 บาท / เด็ก 15 บาท
กรณีที่เด็กสูงไม่เกิน 90 ซม. ขึ้นรถรางฟรี(รถรางฯ เปิด 08.30-16.30 น.)
การเดินทาง
1.โดยรถยนต์ จากกรุงเทพฯ
- ใช้ทางหลวงหมายเลข 35(ถนนพระราม 2 หรือธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ปากท่อ เข้าจังหวัดเพชรบุรี ระยะทางประมาณ 123 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.
- ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ระยะทางประมาณ 166 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
2.โดยรถประจำทาง มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-เพชรบุรี ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว
3.โดยรถไฟ มีบริการรถไฟออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ(หัวลำโพง) และสถานีรถไฟธนบุรี ไปยังจังหวัดเพชรบุรีทุกวัน ทั้งรถธรรมดา รถเร็ว รถด่วน และรถด่วนพิเศษ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง
เนื้อหาสำหรับประชาชนทั่วไป
เนื้อหาสำหรับเด็ก
รับบัตรเครดิต
รับจองล่วงหน้า
กรณีสถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐ และเอกชน ที่มีความประสงค์จะเข้าชมเป็นหมู่คณะ
สามารถส่งแบบฟอร์มแจ้งการขอเข้าชมล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันเข้าชม
กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า โทรศัพท์ 032-425 600
หรือ ติดต่อโดยตรงได้ที่ห้องสำนักงาน ชั้น 2 อาคารรถรางไฟฟ้า
ข้อมูลสำหรับผู้พิการ
พิพิธภัณฑ์ มีรถวีลแชร์และลิฟท์สำหรับรถวีลแชร์
โดยมีเจ้าหน้าที่ทางพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นผู้ควบคุมและอำนวยความสะดวก ให้กับผู้เข้าชม
ที่เป็นผู้ทุพพลภาพและผู้สูงอายุ ที่ต้องใช้บริการเข้าชมหมู่พระที่นั่ง
*สำหรับผู้เข้าชมที่มีความประสงค์จะใช้รถวีลแชร์ สามารถติดต่อได้ที่
อาคารประชาสัมพันธ์ (ทิมดาบราชองครักษ์)*
สิ่งอำนวยความสะดวก
มีลานจอดรถบริเวณหน้าอาคารรถรางไฟฟ้า